นางขุชชุตตรา
เรื่องประวัติของนางขุชชุตตรา ที่เป็นนางสนมของพระนางสามาวดี เป็นผู้รับใช้ที่พระนางสามาวดีไว้ใจเป็นพิเศษ และเป็นหัวหน้าแก่นางสนมอื่นๆ อีกห้าร้อยคน นางขุชชุตตรา ไม่เคยฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเลย พระนางสามาวดีให้ไปซื้อดอกไม้มาประดับในพระราชวังทุกวัน และให้เงินไปครั้งละ ๘ กหาปณะ ในเช้าวันหนึ่ง นายมาลาการได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกมาฉันอาหารที่บ้าน ได้เก็บดอกไม้ทั้งหลายมาประดับปะรำพิธี ไม่มีเวลาที่จะไปเก็บดอกไม้ให้นางขุชชุตตรา แล้วบอกว่าวันนี้เราได้นิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสาวกมาฉันที่นี่ เมื่อฉันเสร็จก็จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ให้นางขุชชุตตราคอยก่อน เสร็จแล้วจึงจะไปเก็บดอกไม้ให้ นางขุชชุตตราก็ยินดีที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า…
อาจารย์ผู้ติดในสมาธิ
เรื่องมีอยู่ว่า พระ ๒ องค์ด้วยกัน องค์หนึ่งเป็นอาจารย์ องค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์ องค์อาจารย์เป็นนิสัยเจโตวิมุติ องค์ลูกศิษย์เป็นนิสัยปัญญาวิมุติ แต่ชาติก่อนๆ มาเคยร่วมบารมีกันมา บำเพ็ญด้วยกันมา เคยทรมานกันมา พึ่งพาอาศัยกันมา เมื่อมาเกิดชาตินี้ก็มาบวชร่วมกันเป็นครูอาจารย์เดียวกัน ทีนี้นิสัยเดิมที่มีอยู่ ลูกศิษย์เป็นนิสัยปัญญาวิมุติ ก็ใช้ปัญญาพิจารณา อาศัยปัญญาคู่กับสมาธิตั้งใจมั่น ใช้ปัญญาพิจารณา เดินจงกรมบ้าง…
บุตรนายช่างทอง
เรื่องนิสัยวาสนาที่ได้อบรมมาในชาติก่อน บรรดาพระสาวกทั้งหลายไม่สามารถทราบได้ว่าผู้นั้นเคยสร้างบุญสร้างกุศล สร้างวาสนาบารมีมาอย่างนี้ๆ พระสาวกรู้ไม่ได้ แต่การรู้อย่างนี้เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่บอกได้ว่า ในอดีตชาติเคยทำบุญมาอย่างนั้น สร้างบารมีมาอย่างนี้ ยกตัวอย่าง พระภิกษุหนุ่มลูกศิษย์ของพระสารีบุตร มีความกระสันอยากสึกออกไปเป็นฆราวาส พระสารีบุตรท่านมีความสงสารจึงแสดงธรรมให้ฟังหลายแง่หลายมุม แต่ภิกษุรูปนั้นก็ยังคงอยากสึกอยู่ พระสารีบุตรผู้ซึ่งแตกฉานในปัญญาทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ไม่สามารถนำธรรมะหรือปัญญาไปบังคับลูกศิษย์ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงได้ พระสารีบุตรจึงนำภิกษุนั้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนสารีบุตร ไม่มีพระภิกษุรูปใดจะเทศน์สอนได้ มีเพียงตถาคตองค์เดียวเท่านั้นที่เทศน์ได้ถูกจุด” พระพุทธเจ้าจึงให้นิมิตดอกบัวตูม…