โสณภิกษุณี

โสณภิกษุณี – เทศน์ 21 พ.ค. 40

นางโสณภิกษุณี บวชเมื่อแก่ อายุก็ประมาณเจ็ดสิบปี หรือแปดสิบปี เมื่อบวชมาแล้วได้ไปอยู่ร่วมบ้านกับภิกษุณีอื่นๆ ภิกษุณีสาวๆ เขาก็มีความขยันหมั่นเพียร ทำข้อวัตรปฏิบัติไปเรื่อยๆ มีความรู้ดี เพราะว่าเขาบวชก่อน

คนบวชก่อนต้องมีอาวุโสกว่าคนบวชใหม่ ถึงจะอายุน้อยก็ตาม อายุสิบปี ยี่สิบปีก็ตาม เขาถือว่าเป็นผู้อาวุโส ถ้าคนบวชใหม่ อายุห้าสิบปี หกสิบปี แปดสิบปีก็ตาม ถือว่าเป็นคน ภันเต คือผู้น้อย ต้องเคารพกราบไหว้ผู้บวชก่อน ไม่ใช่ว่าเอาอายุแก่ แต่เอาการบวชเป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการเคารพเชื่อถือกัน นักบวชเป็นอย่างนั้น ในครั้งนั้นก็เหมือนกัน ภิกษุณีสาวๆ เขาก็บวชก่อนหลายปี ภิกษุณีแก่บวชเข้ามาไม่กี่วัน ก็มาถูกวาระการอยู่รักษาศาลา อันรักษาศาลานี้ ก็ดูแลหลายๆ อย่าง เช่น ปัดกวาดเช็ดถู สิ่งสกปรกโสโครกในศาลาหลังนั้น ปูเสื่ออาสนะ ตั้งกาน้ำร้อน น้ำเย็น สำหรับภิกษุณีอาวุโส ดูแลแจกันดอกไม้ เชิงเทียน ธูปเทียน ดูแลให้สะอาด

นี่คือหลักการของระเบียบวาระการประชุม ถึงเวลาก็ตีระฆัง ภิกษุณีอื่นเขาก็ลงมาศาลา ก็มานั่งที่ นั่งที่ตามที่จัดเอาไว้ตามอาวุโส นี่เขาทำกัน ทีนี้เมื่อถึงวาระภิกษุณีแก่คนนี้ เรียกว่านางโสณภิกษุณี นางก็ยังไม่ชำนาญในการทำกิจวัตรเหล่านี้ นางก็วิ่งไปก่อไฟขึ้นมา เมื่อก่อไฟขึ้นมาแล้วก็วิ่งไปเอากาน้ำมาใส่น้ำ มาตั้งในกองไฟเอาไว้ กลัวจะไม่ทันงานไม่ทันการ กลัวว่าภิกษุณีอื่นเขาจะด่าเขาจะว่า พอไฟลุกขึ้นนิดหน่อยแล้วก็วิ่งไปหาทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูศาลา ปูเสื่อปูอาสนะ ตั้งกาน้ำร้อนน้ำเย็นเอาไว้ น้ำร้อนนั้นสำหรับภิกษุณีอาวุโสเพื่อไปฉันกับยา

ทีนี้พอเสร็จแล้วก็วิ่งไปดูโต๊ะหมู่ หิ้งพระ มีดอกไม้แจกันต่างๆ พร้อมหรือยัง ดอกไม้จุดไหนตู้ไหนมันเหี่ยวแห้งก็เอาทิ้งไป เอาดอกไม้ที่สวยๆ งามๆ มาใส่แทนที่ กระถางธูปเหมือนกัน ก้านธูปที่มันหมดแล้วก็ทิ้งไป เก็บทิ้งไป ทำความสะอาด แล้วก็ตั้งเชิงเทียนขึ้นมา ตั้งเทียนเอาไว้ ตั้งธูปเอาไว้ นี่นางทำอย่างนั้น

ขณะทำงานทั้งหมดอยู่นั้น ไฟที่ลุกขึ้นมาแต่แรกเกิดดับไปเสียแล้ว ทำงานลืมหน้าลืมหลัง คือลืมมาดูว่าหม้อที่เราตั้งไฟไว้แล้วนั้นน้ำมันเดือดหรือยัง ร้อนหรือยัง ไฟดับหรือเปล่า นางไม่คิดถึงเลย เพราะเมากับงานอื่นไปแล้ว ว่าจริงๆ แล้วคือ เมาในหิ้งพระในโต๊ะหมู่นั่นเอง แล้วก็มาจัดสรรดอกไม้ต่างๆ มาประดับประดาให้เกิดความสวยงามในโต๊ะหมู่นั้น เชิงเทียนก็เอามาตั้งเอาไว้ ธูปก็มาตั้งเอาไว้ ดอกไม้ก็มาใส่แจกันเอาไว้

เมื่อตั้งแล้ว ดอกไม้เก่าที่เอาออกมาจากโต๊ะหมู่นั้นก็ยังกองไว้อยู่ จะกองไว้ อันนี้ของใหม่ อันนี้ของเก่าจะไปทิ้ง ขณะที่ยังไม่ได้เอาไปทิ้ง นางกำลังดูของใหม่ของเก่า ในลักษณะการต่อเนื่องกัน ของเก่านี้ เมื่อวานนี้ของสิ่งนี้เป็นของที่สดสวยงดงามดี ดอกไม้ดูวันวานก็สดสวยดี แต่วันนี้ ดอกไม้เมื่อวานดูวันนี้มันร่วงโรยไปแล้ว ร่วงราไปแล้ว สีสันต่างๆ ก็ไม่มีอะไรสดสวยอีกต่อไปแล้ว ดอกนี้มันเคยสวย มันก็ไม่สวย เพราะมันแก่นั่นเอง

พอนางจับก้านธูปขึ้นมาก้านหนึ่งหรือสองก้าน ก็มาดูอีก ก้านธูปอันนี้สมัยที่ไฟยังไม่ไหม้ มันก็เป็นธูป ข้างบนก็มีดอกธูปธรรมดาๆ แต่เมื่อถูกไฟไหม้ไปแล้ว ธูปเป็นดอกธูปต่างๆ ก็หมดไป เหลือแต่ก้านธูปอย่างเดียว นางมีปัญญาคิดอย่างนั้น

ลองไปจับขี้เทียนขึ้นมา ไอ้ขี้เทียนที่มีอยู่นี้มันก็จุดขึ้นมาเมื่อวานนี้ เทียนทั้งเล่ม ดอกยาวๆ นี้ จุดไปๆ ไฟก็ไหม้ไปๆ เทียนเป็นเล่มก็หายไปๆ และหมดไป ไม่มีเทียนเล่มนั้นอีกต่อไป นี่คือธรรมชาติของมัน

ก็ดูของใหม่สิว่า ของใหม่เดี๋ยวนี้ก็ดูดี ธูปดอกนี้หลังจากวันนี้ก็จะหมดไป จะเหลือแต่ก้านธูปอย่างเดียว ส่วนเทียนสองเล่มหรือสองดอกที่ตั้งอยู่นี้ก็เช่นกัน เมื่อถูกจุดไปแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะหมดไป ดอกไม้ที่เราจัดตั้งสง่าสวยงามทั้งหมดนี้ พรุ่งนี้ก็จะร่วงโรยหมดไป ไม่มีอะไรสวยงามอีกต่อไป

“นางน้อมเอาดอกไม้ธูปเทียนต่างๆ ที่มีอยู่นั้น ทั้งของใหม่ของเก่า โอปนยิโก คือน้อมหาตัวเองทั้งหมดว่าสังขารร่างกายเรา ธาตุสี่เราทั้งหมดนี้ จะเหมือนดอกไม้นี้ไหม จะเหมือนธูป เหมือนเทียนนี้ไหม เหมือนกันทั้งหมด”

คนที่มีปัญญาดี เขาคิดเปรียบเทียบกันได้ โดยการน้อมไปว่ายุคก่อนๆ สมัยก่อนๆ เมื่อเราเป็นสาววัยรุ่น เราก็มีความสวยงามหาคนเปรียบเทียบได้ยาก ไปไหนผู้ชายก็มองหน้าตาแทบจะไม่กระพริบ เพราะความสวยของเรา แต่บัดนี้ความสวยของเรา เมื่ออายุปูนนี้แล้ว เดี๋ยวนี้มันหายไปไหน มันเหมือนดอกไม้นั่นไหม ความแข็งแรง ความขยัน ความกระฉับกระเฉง ของสังขารร่างกายที่ว่ามานั้น

สมัยสาวๆ เราก็วิ่งไปไหนมาไหนด้วยความแข็งแรง ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างไม่กลัว ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะกำลังวังชาเรามี นี้ฉันใด เมื่อเราแก่มาถึงจุดนี้ กำลังวังชาเราหายไปไหน ก็เหมือนกับว่าดอกธูปที่เราจุดไปแล้วมันหายไปไหนอีก ใครทำมันหนีไปไหน นี่กำลังของเรามันก็หมดไปอย่างนี้เช่นกัน

เหมือนกับดอกธูปที่มันหายไปหมดไป ดูชีวิตของเรา มันจะเหมือนดอกธูปนั่นไหม เหมือนกันอีก ดอกธูปเบื้องต้นก็เป็นดอกธูปธรรมดา เมื่อจุดไฟไป ไฟก็ไหม้ไปๆ เหลือแต่ก้านธูปอย่างเดียว นี้ฉันใด ชีวิตของเราเหมือนกับก้านธูปนั่นไหม เหมือนกัน ไปดูเทียนอันนี้เหมือนกับชีวิตของเราไหม เหมือนกันอีกทั้งหมด คือน้อมใจตัวเอง น้อมกายตัวเองกับธูปกับเทียน ให้เข้ากันได้เสมอต้นเสมอปลาย

“นี่คือของจริงว่าชีวิตเราก็เหมือนเทียนนี้ เทียนเราก็จุดไฟไหม้ไปๆ แล้วก็หมดไป อันนี้ชีวิตเราก็อยู่ไปๆ ก็หมดไปๆ เช่นเดียวกันกับเทียนอันนั้น กับธูปอันนั้น”

เพลิดเพลินอยู่ในการนั่งดูธูปเทียนอยู่นั้น พิจารณาอยู่อย่างนั้น ในที่สุดนางโสณภิกษุณีก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะอุบายธูปเทียนเหล่านั้น นี่ผู้มีปัญญาดี เขาทำอย่างนั้น ในครั้งพุทธกาลเขาทำกัน

พอบรรลุอรหันต์แล้ว นางเพ่งเทียนที่จุดอยู่ อำนาจเทียนมันเป็นกระแสแห่งตบะธรรม นางได้ เตโชกสิณ ขึ้นมา เป็นอภิญญาอย่างหนึ่ง อภิญญานี้เรียกว่าเตโชกสิณ ก็นางเป็นพระอรหันต์แล้ว รู้ตัวขึ้นมา

พอดีนางภิกษุณีสาวคนหนึ่งมาเห็นภิกษุณีแก่คนนี้ไปนั่งอยู่ใกล้โต๊ะหมู่บูชา นั่งดูเทียนดอกนั้น นั่งดูธูปดอกนี้ นั่งดูดอกไม้ดอกนี้อยู่อย่างนั้น พอดีภิกษุณีสาวเดินผ่านมา ดูเถอะ ภิกษุณีแก่คนนี้มันไม่เอาไหนเลย มันไม่ทำงานทำการแบบนี้ ไฟที่ดำอยู่ก้นหม้อก็ดับไปแล้ว น้ำเย็นไปหมดแล้ว ระฆังก็ไม่ได้ตี จะมาทันเวลาไหม เดี๋ยวจะบอกให้นางภิกษุณีอาวุโสด่าหัวเอา นี่ภิกษุณีสาวคนหนึ่ง มีความหยิ่งว่าตัวเองบวชก่อน ทำตัวหยิ่งกับภิกษุณีแก่ เรื่องต่างๆ นี้ยังไม่ได้พูด แต่หาเวลาเพื่อจะลงมาเอาเรื่องที่จะประจานนางภิกษุณีคนนี้ให้ได้ เพื่อให้ได้ขายหน้าสักที ขณะเดียวกันก็ถือระฆัง ตีระฆัง เง๊งๆ ขึ้นมา ภิกษุณีแก่ๆ เขาก็ลงมาศาลา

ช่วงนั้นนางโสณภิกษุณีไปดูน้ำในหม้อว่าเดือดหรือยัง ปรากฏว่าน้ำเย็นหมดแล้ว เพราะไฟมันดับไปนานแล้ว นางก็ทำอะไรไม่ได้ นางจึงเอาน้ำที่อยู่ในหม้อในกาตักมารวมกันทั้งหมด พอรวมกันเสร็จ ก็เพ่งกสิณใส่หม้อใส่กาน้ำทั้งหมดนั้น สักประมาณ ๔-๕ นาที น้ำในกาก็ร้อนเป็นไฟปุดๆ ขึ้นมา แล้วก็ไปตั้งไปวางไว้แถวๆ นั้น ตามที่ผู้ใหญ่เขานั่งกัน

พอดีภิกษุณีแก่ก็ลงมา เป็นยังไง ภิกษุณีโสณะ ผู้รักษาวาระศาลา ทำงานเสร็จหรือยัง ภิกษุณีสาวคนนั้นก็ว่า ดูเถอะ ถ้ามันไม่เสร็จจริง จะไปด่าว่ามันต่อหน้าต่อตาผู้คน น้ำร้อนไม่มี มันเป็นน้ำเย็นทั้งหมด ภิกษุณีสาวก็เลยพูดว่า คุณแม่ น้ำทั้งหมดไม่มีร้อนเลย มีน้ำเย็นทั้งหมด ภิกษุณีแก่คนนี้ไม่สนใจกับข้อวัตรนี้ ไปนั่งอยู่กับหิ้งพระและโต๊ะหมู่ทั้งหมด ไม่มีการต้มน้ำร้อนเลย ภิกษุณีสาวพูดทั้งที่นางไม่ได้ไปจับดูว่าน้ำร้อนจริงหรือไม่ร้อน คือตะโกนไปก่อน เพื่อเอาหน้าเอาตาว่าตัวเองใส่ใจ เชิดหน้าไปก่อนว่าเราเป็นคนรับผิดชอบ เป็นคนสนใจ ทีนี้ภิกษุณีอรหันต์ก็นั่งเฉย เงียบ เสงี่ยมเจียมตัว เมื่อภิกษุณีทั้งหมดลงไปที่ศาลาก็ทดสอบกัน ถ้าหากว่ามันไม่ร้อนจริงๆ จึงจะว่ากัน ก็รินน้ำไปดู พอจับดูกา แต่ละกาก็ร้อนทันที อ้าว ทำไมภิกษุณีสาวถึงว่าน้ำร้อนไม่มีล่ะ น้ำก็ร้อนหมดแล้วนี่ หลังจากนั้นก็ถามภิกษุณีโสณะว่า ทำยังไง โสณภิกษุณี น้ำร้อนมาจากไหน นางก็บอกว่า ฉันก็มารวมๆ ที่นี่ แล้วก็ดูๆ นิดหน่อย มันก็ร้อนเอง แม่ พูดเท่านั้นแหละ นางภิกษุณีอาวุโสก็รู้ว่านางโสณภิกษุณีซึ่งบวชมายังไม่ถึงเดือนเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว นางโสณภิกษุณีเป็นพระอรหันต์ได้เพราะปัญญาของนาง