พระโสไรยะ

พระไสเรยะ – เทศน์ 20 พ.ค. 40

ในสมัยครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า พระสังกัจจายน์ แต่ก่อนท่านเองมีรูปโฉมสวยงดงาม ไปที่ไหนคนจ้องมองตลอดเวลา ถึงกับว่าเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง เป็นอะไรบ้าง ต่างๆ นานา

ในวันหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีครอบครัวแล้ว มีลูกอยู่ ๒ คน คนหนึ่งมีชื่อว่า โสไรยเศรษฐี ท่านได้พาบริวารทั้งหลายเดินผ่านมา มาเห็นพระสังกัจจายน์นี้แหละรูปสวยงาม ก็เลยมีความประมาทในส่วนตัวว่า สมณะองค์นี้ ถ้าหากว่าเราได้ภรรยาเหมือนพระสมณะองค์นี้ ความสุขมันจะเกิดขึ้นขนาดไหนหนอ นี่คิดดำริภายในใจขึ้นมา คือดำริต่อหน้าพระอรหันต์ แต่ไม่พูดออกมา ดำริในใจ ในขณะเดียวกัน ในขณะนั้นนั่นเอง โสไรยเศรษฐีนั้นเป็นกรรมขึ้นมากะทันหัน จากเพศชายที่เป็นอยู่นั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปทันที รูปร่างกลางตัวทุกส่วนเป็นผู้หญิงขึ้นมา

เศรษฐีแปลกใจว่าเราเป็นผู้หญิงได้อย่างไร ดูท่าทาง ดูอะไรทุกส่วนของร่างกาย มันเป็นผู้หญิงขึ้นมาแล้ว อายหมู่อายคณะ อายลูกน้องทั้งหลาย ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่ออายก็หาวิธีปลีกตัวหนี พอปลีกตัวไปก็ไม่เข้าบ้านเลย เดินต่อ เดินเตลิดเปิดเปิงไปที่อื่น เดินไปเรื่อยๆ เพราะอายคน ไปอีกเมืองหนึ่ง พอดีเมืองนั้นก็มีมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่ผู้เป็นภรรยาของมหาเศรษฐีคนนั้นก็ตายไปเสียได้ไม่กี่วัน พอดีโสไรยเศรษฐีคนนี้ในเพศผู้หญิง ก็ได้เดินทางไปเจอกัน ก็มีความรักความชอบใจขึ้นมาทันที ก็เลยแต่งงานกัน แต่ก่อนเป็นผู้ชาย แต่บัดนี้กลับเพศเป็นผู้หญิง ก็เลยแต่งงานกับผู้ชาย การแต่งงานครั้งนี้ได้มีลูก ๒ คน

ในช่วงเดียวกันนั้น เพื่อนของมหาเศรษฐีโสไรยะได้ติดตามหาว่ามหาเศรษฐีไปไหน ค้นหาทุกซอกทุกมุมก็ไม่เห็นว่าไปที่ไหน หลายปีต่อมา เพื่อนเศรษฐีเก่าๆ ที่รู้จักกันได้ไปค้าขายที่เมืองนั้น พอดีนางโสไรยเศรษฐี ซึ่งแต่ก่อนเป็นนายโสไรยเศรษฐี แต่บัดนี้เป็นนางโสไรยะ ยืนเห็นพวกพ่อค้าต่างๆ มาค้าขาย จำได้ว่านี่คือเพื่อนเก่าของเรา ก็เลยลองไปถาม ทำท่าทำทางไปถามว่านี่เป็นอย่างไร อยู่เมืองไหน เมืองนั้นเมืองนี้ก็ว่ากันไป ถามข่าวถามคราว ก็ถามข่าวเป็นนัยๆ เป็นพิธีว่า ท่านเคยได้ยินข่าว ท่านโสไรยเศรษฐีไหม พวกพ่อค้าก็ว่า เพื่อนเราหายไปไหนก็ไม่รู้ จากวันนั้นมาก็หลายปีแล้วนะ ไปไหนก็ไม่รู้ ข้าพยายามติดตามหา หาทุกแง่ทุกมุม หาไปก็ไม่พบไม่เจอ เลยไม่รู้จะไปหาที่ไหน

นางก็รู้ว่าเพื่อนเรานั้นไม่รู้จักเราแล้ว ก็เลยบอกไปว่า ข้าพเจ้าเองชื่อว่าโสไรยเศรษฐี พวกพ่อค้าก็ว่าไม่ใช่ นายของฉัน เพื่อนของฉันน่ะเป็นผู้ชาย ท่านเป็นผู้หญิง จะพูดว่าเป็นเพื่อนได้อย่างไร โสไรยเศรษฐีก็เลยพาเพื่อนๆ ไปคุยกันลับๆ มันเป็นอย่างนี้ๆ นะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนเพศเป็นผู้หญิงได้นะ ในวันนั้นฉันมีความประมาท มีความพลั้งเผลอ ไปเจอสมณะองค์หนึ่งคือพระสังกัจจายน์ ฉันก็นึกในใจว่า ถ้าฉันได้เมียมีรูปร่างกายอย่างนี้ จะมีความสุขขนาดไหนหนอ พอคิดอย่างนี้ขึ้นมา ร่างกายฉันจากที่เป็นผู้ชายก็เปลี่ยนเพศเป็นผู้หญิงขึ้นมา ฉันอายพวกเธอทั้งหลาย ฉันจึงหนีจากพวกเธอมาจนถึงขณะนี้

พวกเพื่อนก็ว่า ตายแล้ว ฉิบหายแล้ว ไม่ได้ๆ นะ เราต้องรีบไปขอขมา สบประมาทท่านแล้ว ไม่ได้ๆ ก็เลยตกลงกัน นางโสไรยเศรษฐีก็ลาสามี บอกว่าจะไปกับเพื่อน ไปธุระ ไปคาราวะครูบาอาจารย์ สามีก็ปล่อยให้มา เมื่อปล่อยให้มาแล้ว ก็ตามหาพระสังกัจจายน์ ตามหาทุกซอกทุกมุม ก็ไปเจอพอดี พอเจอก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านฟัง ท่านก็รับทราบ โสไรยเศรษฐีก็ขอขมาว่า กรรมใดที่ทำด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี คิดด้วยใจก็ดี ขอพระคุณเจ้าอดโทษอโหสิกรรม อดโทษเหล่านั้นให้กับพวกผมด้วย ก็ขอขมาลักษณะนั้น ท่านก็ให้ศีลให้พร แล้วในทันใดนั้น จากที่เป็นผู้หญิงก็กลับเป็นผู้ชายอีกตามเดิม แล้วก็สลดใจขึ้นมาว่า โลกของเรามันเป็นอย่างนี้ๆ นะ อายคนเหลือเกิน ก็พิจารณาแล้วว่าออกบวชดีกว่า ก็เลยออกบวช

ออกบวชมาก็มีภิกษุหนุ่มภิกษุใหญ่มารุมถามว่าเป็นอย่างไร เป็นผู้หญิง มีผัวแล้วเป็นอย่างไร เขาก็รุมถาม ส่วนขณะที่เป็นผู้ชายแต่งมีเมียก็ไม่ต้องถามกัน เพราะผู้ชายเขารู้จักกันดี แต่นี่โสไรยเศรษฐีเป็นผู้หญิง ไปมีครอบครัวน่ะ เป็นอย่างไร มีผัวเป็นอย่างไร มีลูกเป็นอย่างไร เขาก็รำคาญ เพราะเพื่อนถามอยู่นั่นแหละ ก็เลยหนีเตลิดเปิดเปิง เข้าป่าเข้าดง ไปอยู่ภูเขาเลากาลึกๆ โน่น ไปก็เร่งภาวนาปฏิบัติ

ก็เอาเรื่องการเป็นผู้หญิงผู้ชายนี่แหละมาพิจารณา

“ตัวเองมีเหตุเป็นอย่างไรในชีวิตนี้ มีความทุกข์อะไรเกิดขึ้นในชีวิต เกี่ยวกับธาตุขันธ์เป็นอย่างไร ก็พิจารณาลงสู่อนิจจัง ความไม่เที่ยงของธาตุสี่ มีการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนความไม่เที่ยงของจิตใจก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ พิจารณาไปพิจารณามา ซ้ำๆ ซากๆ ว่าโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ แบบกะทันหันก็มี ช้าก็มี”

ในที่สุดแม้ภาวนาไม่นานนัก ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

นั่นเรียกได้ว่าพระโสไรยะเป็นพระอรหันต์แบบสมบูรณ์ ที่เรากราบอยู่ทุกวันๆ นี้ ก็ได้กราบพระโสไรยะ เป็นพระสุปฏิปันโน การได้กราบพระอริยเจ้านั้น กรรมอันนี้มันมีมากมายก่ายกองเหลือเกิน