นางสุมิตตา

นางสุมิตตา – เทศน์ 19 พ.ค. 40

นางสุมิตตา เป็นพระโสดาบันอย่างสมบูรณ์ เป็นผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง เป็นลูกมหาเศรษฐี แต่เขาก็ยังมีความกระสันดิ้นรนในความรัก ความใคร่ในกามคุณ จนวันหนึ่ง มีหนุ่มคนหนึ่งเป็นนายพรานอยู่ในป่าลึก แต่ละวันๆ เขาจะหาสัตว์ต่างๆ เก้งกวางต่างๆ มาขายในเมือง เอาใส่ล้อใส่เกวียนลากมาขาย แล้วก็ผ่านหน้าบ้านของนางสุมิตตาทุกวันๆ หรือสองวันสามวันมาครั้งหนึ่ง เป็นหนุ่มหน้าตาดีพอสมควร แต่เป็นนายพราน

นางสุมิตตาก็ต้องไปซื้ออาหารจากพรานคนนี้ด้วย นานๆ เข้า หญิงสาวที่เป็นพระโสดาบันพอเห็นหนุ่มมาบ่อยๆ ก็นึกคิดขึ้นในใจ คือว่ามีความสัมพันธ์เกิดขึ้น ความกำหนัดเกิดขึ้น ความใคร่เกิดขึ้น นั่นคือมีความรัก การที่มีความรักอย่างนี้แสดงว่านางสุมิตตายังไม่ถึงอสุภะ

ต่อมาก็จะหาวิธีที่จะพูดคุยกับหนุ่มให้ได้ จะบอกแสดงตัวว่าเรารักหนุ่มคนนี้ เราจะพูดอย่างไรกับเขาให้เขาได้รู้ ก็ไม่กล้าพูด เพราะผู้หญิงเขารู้ตัวว่าฐานะเป็นลูกมหาเศรษฐีตระกูลสูง แต่ผู้ชายเป็นลูกนายพรานป่าธรรมดา ก็กลัวไม่กล้า หาวิธีจะพูดให้เขาฟังว่าชอบเขา แต่ไม่กล้าพูดอย่างนั้น

หลายวันต่อมา นางสุมิตตาก็หาวิธีออกตัว จนตัดสินใจทันทีว่า ไม่ได้ เราอดทนต่อความรักกับหนุ่มคนนี้ไม่ได้แล้ว ชีวิตเราต้องมอบกายถวายตัวให้กับหนุ่มคนนี้ให้ได้ ต่อมาก็พยายามหาวิธีที่จะหนีออกจากบ้านจากพ่อแม่ เตรียมเงินทองพอสมควรที่พ่อแม่มอบเอาไว้ให้ เตรียมผ้านุ่งผ้าห่มพอสมควรที่พ่อแม่แบ่งเอาไว้ให้ คือตัดสินใจจะไปกับชายหนุ่มคนนี้ให้ได้ นี่ภูมิธรรมพระโสดาบัน จิตใจของพระโสดาบันไม่ใช่ว่าเห็นอสุภะ

ทีนี้ต่อมาก็มาดูทิศทาง ขึ้นปราสาทสูงเก้าชั้นดูว่าไอ้หนุ่มคนนี้ไปขายเนื้อสัตว์เสร็จแล้ว มันออกทางทิศไหนของเมืองสาวัตถี จึงวางแผนหลอกสาวใช้ไม่ให้รู้ตัวว่าตนจะหนีออกจากบ้านไป โดยปลอมตัวเป็นคนธรรมดาออกจากบ้าน ในขณะที่สาวใช้เผลอ แต่งตัวมอมแมม นุ่งผ้าเก่าๆ ขาดๆ ปลอมตัว ผ้าของไม่มีค่าไม่มีราคา เอาผ้าเก่าๆ ห่อพันกันไป แบกกันไป ไปรอ ไปดักไอ้หนุ่มอยู่ปากทางออกเมืองนั่นเอง

พ่อหนุ่มขับเกวียนผ่านมา ก็เดินต้อยๆ ตามไป ภาษาอีสานเรียกว่าวิ่งตามชายหนุ่ม จริงๆ ไม่ได้วิ่งหรอก เดินตามไป เดินไปเรื่อยๆ ในตอนแรกผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร ผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางตามหลังเกวียนมา แต่ก็ไม่ได้สนใจ

ต่อไปนานเข้าผู้หญิงก็ไม่หยุด เดินไปเรื่อยๆ จนชายหนุ่มต้องหยุดถามว่า น้องหญิง จะตามพี่มาทำไม กลับบ้านไปเสียเถิด นางก็ไม่พูด เดินต่อไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มก็บอกอีกว่า น้องหญิง จะตามมาทำไม กลับบ้านเสีย เดี๋ยวคนจะเห็น นางก็ว่า มันเรื่องของฉันที่จะเดินน่ะ เรื่องของคุณ คุณก็ขับเกวียนไปสิ คนเดินก็เดินต่อไป คนขับเกวียนก็ขับต่อไป ผู้หญิงก็เดินตามหลังเกวียนต่อไปเรื่อยๆ บอกสักสองครั้งสามครั้ง นางก็ไม่หยุด เฉยๆ ตอบคำเดียวเลยว่า หน้าที่คุณขับเกวียนไปสิ ฉันจะเดินตามทางของฉัน ไม่เกี่ยวกัน

โน่น จนไปถึงที่ป่าใหญ่ที่นายพรานหนุ่มอยู่ เลยถามนางสุมิตตาว่า น้องมาทำไม ฝ่ายหญิงจึงตอบว่า ฉันขอมอบกายถวายชีวิตเป็นเมียของเธอเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร

“ขนาดพระโสดาบัน เรื่องความรักความใคร่มีความรุนแรงเหมือนคนธรรมดา คำว่ารูป เสียง กลิ่น รส ละไม่ได้เลย”

ให้จำไว้ให้ดีเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้การปฏิบัติของเรามันข้ามขั้นตอนไปมาก การปฏิบัติมันถึงยาก

หลายปีต่อมา อยู่ด้วยกันนานจนมีลูกตั้ง ๗ คน ลูก ๗ คนเป็นผู้ชายทั้งนั้น แสดงว่านางสุมิตตายังไม่มีอสุภะ ยังมีความรักใคร่ในรูปนั้นอยู่ ถ้าคนมีอสุภะอยู่ในใจ จะร่วมเพศได้ไหม ร่วมไม่ได้เลย นั่นคือเบื่อ เบื่อหน่าย ร่วมไม่ได้ เพราะมีอสุภะในใจ นี้แสดงว่าพระโสดาบันไม่มีอสุภะภายในใจ จึงมีความพอใจร่วมเพศกับผู้ชายได้ นั่นคือพระโสดาบัน นางวิสาขาก็ลูก ๒๐ คน นางสุมิตตาก็ลูก ๗ คน ลูกชายทั้งหมด ต่อมาก็อยู่ในป่าเปลี่ยว ก็เลยไปหาหญิงสาวมา ๗ คนมาเป็นลูกสะใภ้ มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ในครอบครัวนั้นมีลูกสะใภ้กับลูกชาย ๑๔ คน รวมพ่อแม่ทั้งหมด ๑๖ คน

นางสุมิตตานี้ เวลานายพรานผู้เป็นสามีจะไปที่ไหน ไปป่า ก็แบ่งหรือเตรียมสิ่งของต่างๆ เช่น ข้าวปลาอาหาร หรืออะไรต่างๆ ที่มีในบ้าน ก็ห่อให้สามีไป ปืนผาหน้าไม้ที่มีอยู่ในบ้านก็ยกออกมาให้ผัวเพื่อไปหาฆ่าเนื้อฆ่าปลา ทีนี้คนก็ถามกันว่า ถ้าอย่างนั้นนางสุมิตตาเป็นพระโสดาบันแล้ว ทำไมยังมีใจอคติ มีการฆ่าสัตว์อยู่อีกหรือ ทำไมจึงยังเอามีด ปืน หอก ดาบ เครื่องดักสัตว์ต่างๆ ยื่นให้ผัวไปเพื่อทำลายสัตว์ เป็นลักษณะส่งเสริมใช่ไหม อันนั้นไม่ใช่ เพราะว่านางสุมิตตานั้นทำงานตามหน้าที่ผู้เป็นเมียเท่านั้นเอง หน้าที่ผู้เป็นเมียทำอย่างไรกับสามี หน้าที่ผู้เป็นสามีจะทำหน้าที่อย่างไรนั้นเป็นเรื่องของเขา ผัวเมียมีหน้าที่อย่างไรก็ปฏิบัติตามนั้นเท่านั้นเอง คือให้ตามหน้าที่ แต่ไม่ได้ให้เพราะส่งเสริมอะไร นั่นคือพระโสดาบัน คนถกเถียงกันอยู่ ที่จริงไม่เป็นอย่างนั้น

ต่อมาบุญเก่ากรรมเก่าของนายพรานคนนี้จะมาถึง เนื่องจากว่าอยู่กับผู้มีบุญคือพระโสดาบันนี้ ซึ่งนางสุมิตตาก็ทำคุณงามความดีทุกสิ่งทุกอย่างมาตลอด นายพรานคนนี้เคยรู้จักพระพุทธเจ้าไหม ไม่รู้จัก เคยรู้จักศีล ๕ ไหม ไม่รู้จัก ศีล ๘ ก็ไม่รู้ ว่า นะโม ก็ไม่เป็น

ในวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเล็งเห็นบารมีเก่าของพรานคนนี้ ในสมัยอดีตเขาสร้างบุญกุศลมามากพอสมควร พอจะเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ในชาตินี้เขามีความหลงผิด เกิดในตระกูลของนายพราน ก็เลยเป็นพรานไปกับเขา แต่บุญเก่ายังมีอยู่ พระพุทธเจ้าจึงนิมิตตัวท่านออกมา คือมาทำลายบ่วงเครื่องดักสัตว์ของนายพรานคนนั้นให้หมดทุกที่ ไม่มีสัตว์ตัวใดจะมาติดบ่วงทั้งนั้น

พอเช้าวันต่อมา นายพรานก็ไปหาสัตว์ที่บ่วงดักเอาไว้ ปรากฏว่าไม่มีสัตว์เลยสักตัวเดียว จึงโกรธแค้นขึ้นมาว่า ใครมาทำลายบ่วงของข้าพเจ้า โกรธขึ้นมาก็ได้ตามหาผู้มาทำลาย จะฆ่าให้ได้ พอดีก็มองลงมาเห็นพระพุทธเจ้า เออ ไอ้หนุ่มหัวโล้นผู้นี้ทำลายเราให้ฉิบหาย เดินไปก็ยกธนูขึ้น ธนูใส่ยาพิษด้วย ยกธนูขึ้นใส่จะยิงพระพุทธเจ้า พอยกขึ้นไป มือมันไปไม่ได้ ดึงไม่ออก มือกับธนูติดกัน ดึงโก่งธนูแล้ว แต่ลั่นไม่ไป ปล่อยมือไม่ลง โก่งอยู่อย่างนั้น ไปไม่ได้ด้วยอำนาจพระพุทธเจ้า

ต่อมาเมื่อสายมากเกือบ ๙ โมงแล้ว นางสุมิตตาก็แปลกใจว่าทำไมสามีเราไม่กลับบ้าน แต่ก่อนนี้กลับบ้าน ๗ โมงกว่าๆ ๘ โมงก็กลับมาแล้ว แต่นี่ ๙ โมงแล้ว ไม่เห็นกลับบ้าน จึงบอกลูกทั้ง ๗ คนให้ไปดู มีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อ ลูกชาย ๗ คนก็ถือหอก ถือดาบ ถือธนูครบครัน ตามหาว่าจะมีภัยอะไรเกิดขึ้นกับพ่อของตน

พอดีตามมาเห็นพ่อกำลังโก่งธนูจะยิงพระพุทธเจ้าอยู่ พอเห็นปั๊ปร้องว่า ช่วยพ่อเราด้วย ลูกทั้ง ๗ คนก็ยกธนูขึ้นมาจะยิงพระพุทธเจ้า พอยกขึ้นมา ยกธนูโก่งขึ้น เต็มมืออยู่นี้เอง แต่ยิงไม่ไปเลย ค้างทั้ง ๗ คน รวมพ่อด้วยก็เป็น ๘ คน ยืนเรียงกันอยู่ โก่งธนูทั้ง ๘ คน ทำอะไรไม่ได้เลย

จนสายมาก ๑๐ โมงไปแล้ว นางสุมิตตาก็แปลกใจว่า พ่อไปแล้วก็หายไปเลย ส่งลูกชายตามพ่อก็หายไปเลย เกิดอะไรขึ้นหนอ แปลกใจ เลยพาลูกสะใภ้ทั้ง ๗ คนนี้ไปตามหาอีก ไปตามรอยที่พ่อเข้าไป ไปถึงก็เห็นพ่อลูกทั้ง ๘ คนยืนโก่งธนูจะยิงพระพุทธเจ้าอยู่ นางก็เหลือบตาไปเห็นพระพุทธเจ้า พอเห็นปุ๊ป ตะโกนร้องทันที อย่ายิงพ่อฉันๆ อย่าฆ่าพ่อฉัน นางตะโกนบอกเท่านั้นแหละ คำว่าพ่อฉันเท่านั้น ทำให้ผู้เป็นสามีกับลูกซึ่งฟังอยู่ก็แปลกใจว่า ทำไมแม่หรือภรรยาถึงพูดว่าอย่ายิงพ่อฉัน หรือคนนี้เป็นพ่อตาของเรา หรือเป็นตาของเรา เลยแปลกใจ ก็เลยอ่อนใจ ต่อมาก็ยกธนูลง เอาวางไว้

นางสุมิตตาก็พาผัว ลูก ๗ คน และสะใภ้ทั้ง ๗ คน เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า พอไปกราบเข้าเท่านั้นแหละ ท่านก็อธิบายธรรมะให้ฟังเลย เรื่องการทำลายสัตว์ สัตว์ต่างๆ เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์โลกทั้งหลาย อธิบายเรื่องความสุขความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งหมดไม่มีตัวใดตัวหนึ่งจะต้องการตาย เขาเกิดมาเพราะกรรมของเขาอย่างนี้ ก็อธิบายให้เขาฟัง เรื่องชีวิตของสัตว์โลกแต่ละตัวมันเกิดมาตามบุญตามกรรม ดูสิว่าลูกสะใภ้ ๗ คน ลูกชาย ๗ คน กับพ่อรวมทั้งหมดเป็น ๑๕ คน นั่งฟังอยู่ที่นั้น เว้นแต่ผู้เป็นแม่ พออธิบายจบ พ่อ ลูกชายทั้ง ๗ คน และลูกสะใภ้ทั้ง ๗ คน บรรลุเป็นพระอริยโสดาบัน

ดูสินั่น เขาทำสมาธิหรือเปล่า ให้ถามคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เขานึกคำบริกรรมไหม เขาเป็นพระโสดาบัน ที่มาของพระอริยเจ้าเป็นอย่างนี้แทบทั้งนั้นในครั้งพุทธกาล เขาไม่ได้รู้จักว่าศีล ๕ คืออะไร เขาบรรลุธรรมด้วยปัญญาอันฉลาดเฉียบแหลม โดยไม่ต้องนึกคำบริกรรมใดๆ ทั้งสิ้น หลวงพ่ออธิบายให้ฟังถึงความจริงของความเป็นมาในครั้งพุทธกาล

“ส่วนใหญ่ผู้เป็นพระอริยเจ้า พระโสดาบัน เขาเป็นอย่างนี้แทบทั้งนั้น ไม่มีคำบริกรรม”